โหวด เดิมเป็นของเล่นของคนอีสาน ใช้แกว่งเล่นเหมือน "สนู" ต่อมาได้ดัดแปลงมาเป็นเครื่องดนตรีของวงดนตรีพื้นเมือง ประเภทเครื่องเป่า สามารถเป่าหรือแกว่งให้เกิดเสียงดังได้
เครื่องดนตรีจากไม้ไผ่ แคน และ โหวด | โหวด |
เดิมโหวดเป็นของเล่นของเด็กเลี้ยงควาย ชาวภาคอีสานทั่วๆ ไป ใช้เล่นในช่วงปลายฤดูฝนก่อนเก็บเกี่ยวข้าวนาปี ใช้เล่น ๓ กรณี คือ
- เป่าเล่นเพื่อประโลมใจขณะขี่หลังควายหรือพาควายเล็มหญ้าตามทุ่งนา
- ใช้แกว่งและเหวี่ยงเพื่อฟังเสียง ด้วยการต่อหางโหวดให้ยาว แล้วเอาบ่วง ๒ หัว ที่เรียกว่า "ตอง" คล้องหัวและหางโหวด แล้วแกว่งรอบศรีษะด้วยความเร็วสูง เสียงปะทะรูโหวดทุกลูกพร้อมๆ กัน จะเกิดเสียงดังว่า "ลาวๆ" หรือ "แงวๆ" ฟังแล้วชวนเพลิดเพลิน ชาวไทยลาวภาคอีสานเรียกการแกว่งโหวด เช่นนี้ว่า "การแงวโหวด"
- การโยนเล่นเป็นกีฬา กล่าวคือเมื่อแกว่งโหวดฟังเสียงพอใจแล้วก็ปล่อยหางบ่วง ทำให้โหวดลอยโด่งขึ้นไปในอากาศเกิดเสียงดัง "โหวดๆ" หรือ "โหว่ๆ" เรียกว่า การทิ้มโหวด (ถิ้ม-ทิ้ม)
คนโบราณมีความเชื่อว่าโหวดเกิดขึ้นมาหลายพันปีแล้วตามนิยายปรัมปราที่เล่า ขานกันมาโหวดคนอีสานโบราณเชื่อกันว่า เป็นสื่อที่มนุษย์ใช้บนบานสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เพื่อขอให้ฝนหยุดตก ในที่นี้หมายถึงพระยาแถน ผู้ซึ่งประทานน้ำฝนให้ตกในเมืองมนุษย์ ในช่วงฤดูเก็บเกี่ยว ซึ่งจะทำให้ความเสียหายกับผลิตผลได้ จึงเป็นผลให้ไม่เป็นที่นิยมเล่นโหวดในฤดูฝน (เพราะกลัวฝนแล้ง)
โหวดบ้านหนองพอก อำเภอหนองพอก จังหวัดร้อยเอ็ด ได้พัฒนามาเป่าประกอบวงโปงลาง โดยคณะโหวดเสียงทอง เมื่อปี
พ.ศ. 2518 ได้ไปประกวดดนตรีพื้นบ้านที่สถานีวิยุ 909 สกลนคร เป็นวงแรกที่นำโหวดมาเป่าประกอบวงพิณ แคน โปงลาง นับว่าเป็นเครื่องดนตรี
ที่มีเสียงโหยหวล ไพเราะจับใจ โหวดเล็กเป็นเครื่องเป่าที่ทำขึ้นเพื่อเลียนแบบโหวดใหญ่ แต่มีขนาดลูกโหวดเล็กลงทำให้เสียงสูงกว่าโหวดใหญ่
อีก 1 ช่วงเสียงเทียบได้เหมือนกับเสียงผู้หญิงเล็ก แหลมสูง มีลูกโหวด 10 ลูก เริ่มจากเสียงต่ำสุด เสียงมี ซอล ลา โด เร มี ซอล ลา โด เร ใช้เป่า
ประสานเสียงขนานคู่ 8 กับโหวดใหญ่ โหวดใหญ่ เป็นเสียงเป่าทำด้วยไม้กู้แคนและขี้สูดสำหรับเกาะยึดติดแน่นมีแกนทำด้วย กระบอกไม้ไผ่ขนาดเล็ก
มีหางยาวออกมาสำหรับผูกเชือกแกว่ง เดิมทีใช้แกว่งแล้วขว้างปาให้สูงขึ้นและตกไกลจะได้ยินเสียงไพเราะ ต่อมาวงโหวดเสียงทอง อำเภอหนองพอก ได้นำมาเป่าประกอบกับวง พิณ แคน โปงลาง เมื่อประมาณปี พ.ศ. 2518 จึงทำให้โหวดเป็นที่รู้จักกันแพร่หลายเพราะมีเสียง
โหยหวล เศร้าโศก หวานไพเราะ
การพัฒนาเป็นเครื่องดนตรี การนำโหวดมาปรับปรุงใช้เครื่องดนตรีที่มีระดับเสียงอย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบันนี้ ทำขึ้นครั้งแรกโดยชาวอำเภอหนองพอก จังหวัดร้อยเอ็ด มีนายทรงศักดิ์ ประทุมสินธุ์ เป็นหมอโหวดคนสำคัญ เป็นผู้คิดเอาโหวดประสมกับวงแคนและซุง ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2511-2516 เรียกวงดนตรีชนิดนั้นว่า "วงโหวดเสียงทองหนองพอก" ต่อมาปี พ.ศ. 2517 จึงนำวงโปงลางเข้ามาประสมด้วย อันเป็นสาเหตุให้ต้องปรับปรุงมาตราเสียงของโหวดให้ตรงกับมาตราเสียงของโปงลาง คือมีระดับเสียงจากต่ำไปสูง จนแพร่หลายไปทั่วประเทศ และต่างประเทศจนถึงปัจจุบัน |
การทำโหวด การเรียนเป็นช่างทำโหวด จะเรียนรู้จากผู้รู้ โดยหลักการส่วนใหญ่ๆ ส่วนรายละเอียดปลีกย่อยต้องอาศัยทักษะความชำนาญ ความแม่นยำในการฟังระดับเสียง และคิดค้นรูปแบบใหม่ๆ เพื่อพัฒนาให้ทันสมัย วัสดุที่ใช้ในการทำโหวด ประกอบด้วยไม้ไผ่เฮี้ยหรือไม้ไผ่รวก และขี้สูด (รังของแมลงจำพวกแมงน้อย แมงน้อยนี้ชอบทำรังตามจอมปลวกหรือตามโพรงไม้ รังของมันมีน้ำหวานปั้นเอาน้ำหวานออก เรียก ขี้สูดแมงน้อย แมงน้อยไม่มีเหล็กไน ต่อยคนไม่เป็น) อุปกรณ์หรือเครื่องมือที่ใช้ในการทำโหวด ได้แก่ มีดอีโต้ (สำหรับตัดลำไม้ไผ่) มีดตอก (สำหรับเจียน ตกแต่ง) ไม้สำหรับปรับระดับเสียง และน้ำมันก๊าด (สำหรับล้างทำความสะอาด) ขั้นตอนในการทำโหวด
|
ขนาดของโหวดแต่ดั้งเดิมนั้นนิยมทำกันอยู่ 3 ขนาด คือ 1) ขนาดเล็ก มีลูกโหวด 3-7 ลูก 2) โหวดกลาง มีลูกโหวด 9 ลูก 3) โหวดใหญ่ มีลูกโหวด 11-13 ลูก
ความยาวของลูกโหวดในแต่ละลูกนั้นจะสั้นยาวแตกต่างกัน ลูกที่ยาวที่สุดประมาณ 25 เซนติเมตร ลูกต่อมายาวลดหลั่นกันลงมา จนถึงลูกที่สั้นที่สุด ประมาณ 6 เซนติเมตร คนโบราณเรียกลูกโหวดลูกที่ยาวที่สุดว่า "ลูกโอ้" ลูกที่เหลือไม่ปรากฎชื่อ ในปัจจุบันจะเรียกชื่อลูกโหวดตามระดับเสียงโน้ตสากล คือ โด เร มี ฟา ซอล ลา ที โหวดพื้นเมืองมี 5 บันไดเสียง คือ โด เร ฟา ซอล ลา แต่ในปัจจุบันมีการปรับระดับเสียงให้ครบทั้ง 7 เสียง เพื่อให้สามารถนำไปบรรเลงประกอบวงดนตรีสากลได้ ทางดนตรีหรือลายโหวดประกอบการ |
ประเภทของโหวด โหวดมี 3 ประเภท คือ
- โหวดกลม ใช้เป่าเป็นเครื่องดนตรีประกอบวงดนตรีพื้นเมืองอีสานนิยมใช้กันมากที่สุดในปัจจุบัน
- โหวดแกว่ง ลักษณะเหมือนโหวดกลม แต่ต่างกันตรงที่ติดหางยาวไว้สำหรับแกว่งให้เกิดเสียง
- โหวดแผงใช้เป่าเหมือนโหวดกลมแต่ได้ดัดแปลงการติดตั้งลูกดหวดจากการติดรอบแกนมาเป็นการติดกันเป็นแผง
เหมือนกับแคนแต่เป็นแถวเดี่ยวแถวเดียว
ที่มา:http://cdare.bpi.ac.th/Culture%20center/%E0%B9%82%E0%B8%AB%E0%B8%A7%E0%B8%94.html
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น